หากเป็นอาคารชุดที่จดทะเบียนในวันที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพรบ.อาคารชุด พ.ศ.2522 ฉบับที่ 4 พ.ศ.2551 มีผลใช้บังคับ (ภายใน 180 วันนับจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา (มาตรา 2) (ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 125 ตอนที่ 44 ก. วันที่ 6 มีนาคม 2551) กฎหมายบังคับให้เจ้าของโครงการต้องแนบร่างข้อบังคับนิติบุคคลอาคารชุดประกอบคำขอจดทะเบียน (มาตรา 6 (6) )
เมื่อจดทะเบียนอาคารชุดแล้ว กฎหมายบังคับให้ผู้จัดการ (คนที่เจ้าของโครงการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด) จัดให้มีการประชุมใหญ่ โดยือว่าเป็นการประชุมใหญ่สามัญครั้งแรกภายใน 6 เดพือนนับแต่วันจดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุด เพื่อให้ที่ประชุมใหญ่แต่งตั้งคณะกรรมการ พิจารณาให้ความเห็นชอบกับข้อบังคับที่เจ้าของโครงการได้ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมทั้งให้ความเห็นชอบกับผู้จัดการที่เจ้าของโครงการแต่งตั้งด้วย หากที่ประชุมใหญ่ไม่เห็นชอบกับข้อบังคับฯ ให้ที่ประชุมใหญ่พิจารณาแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงข้อบังคับ หรือหากไม่เห็นชอบกับผู้จัดการ ที่ประชุมใหญ่ก็มีสิทธิที่จะถอดถอนผู้จัดการคนเดิมและแต่งตั้งผู้จัดการคนใหม่ได้ด้วย (มาตรา 42)
การนำพื้นที่ส่วนกลางไม่ให้เช่าทำร้านค้าจะต้องได้รับมติจากที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมด้วยมติไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมด หากประชุมครั้งแรกคะแนนเสียงไม่ครบ ให้เรียกประชุมใหม่ภายใน 15 วัน และในการประชุมครั้งหลังจะต้องได้มติไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมด จึงจะสามารถจัดหาผลประโยชน์ในทรัพย์ส่วนกลางได้ (มาตรา 48 (7)) เมื่อผู้จัดการฯ ดำเนินการไปโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว จึงเป็นการปฏิบัติขัดต่ออำนาจหน้าที่ ที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมมีสิทธิที่จะมีมติให้ถอดถอน (มาตรา 35/3 ประกอบมาตรา 49)
ส่วนกรณีไม่แสดงรายรับ รายจ่ายประจำเดือน เป็นการปฏิบัติขัดต่อหน้าที่ของผู้จัดการตามมาตรา 36 (5) ซึ่งกรณีนี้กฎหมายบัญญัติบทลงโทษไว้ตามมาตรา 68 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 500 บาทตลอดระยะเวลาที่ไม่ปฏิบัติให้ถูกต้อง การปรับเป็นโทษทางอาญาตามมาตรา 18 (4) แห่งประมวลกฎหมายอาญา ดังนั้น เจ้าขจองร่วมจึงมีสิทธิที่จะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีอาญากับผู้จัดการได้ พนักงานสอบสวนจะต้องรับแจ้งความ หากไม่รับแจ้งความ พนักงานสอบสวนก็จะมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157