ตามกฎหมายจัดสรรที่ดินไม่สามารถทำได้เพราะเกิน 9 แปลง แต่กรณีนี้ผู้ขายทำการขายแบบเลี่ยงกฎหมายจัดสรร ซึ่งเป็นวิธีเดิม ๆ ที่ใช้กันมาตลอดกล่าวคือ ขายโดยให้ผู้ซื้อโอนชื่อเข้าไปในโฉนดที่ดินแปลงที่ซื้อขายจนครบ 12 แปลง หลังจากนั้นผู้ขายก็จะรับมอบอำนาจจากผู้ซื้อในการยื่นคำขอรังวัดแบ่งกรรมสิทธิ์รวม เพื่อจะได้โฉนดแปลงย่อยจำนวน 12 แปลง
ปกติในการขออนุญาตจัดสรรที่ดินโดยถูกต้องตามกฎหมาย ผู้ขายมีหน้าที่ในการจัดทำสาธารณูปโภคในที่ดินตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ.2543 เมื่อผู้ขายเลี่ยงการขออนุญาตจัดสรรที่ดิน การซื้อขายที่ดินดังกล่าวจึงไม่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของกฎหมายจัดสรร ดังนั้น จึงต้องมาพิจารณาสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างคู่สัญญา เมื่อผู้ขายไม่ได้กำหนดไว้ในสัญญาว่า ผู้ขายมีหน้าที่ต้องทำสาธารณูปโภคในที่ดินแปลงที่ซื้อขาย ถือได้ว่า ผู้ขายไม่มีหน้าที่ตามสัญญาที่จะต้องกระทำ ส่วนใครจะเป็นผู้จัดทำในสัญญาฯ ก็ไม่ได้ตกลงกันไว้อีก ในชั้นนี้ จึงตอบไม่ได้ว่า ใครมีหน้าที่ในการจัดทำสาธารณูปโภค จะว่าร่วมกันจัดทำก็ไม่ใช่ เพราะไม่ได้ระบุในสัญญาไว้เช่นนั้น คงจะต้องพิจารณาเอกสารประกอบการขายอื่น ๆ ซึ่งเป็นคำเสนอขายที่ดิน หากผู้ขายระบุไว้ในเอกสารประกอบการขายว่าจะจัดให้มีสาธารณูปโภค แม้ไม่ได้ระบุไว้ในสัญญา ผู้ขายก็มีหน้าที่ต้องทำ